Nike Running แต่ละรุ่นแตกต่างกันอย่างไร ?

เพื่อนๆเคยสงสัยไหม ว่ารองเท้าของ Nike แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร ทั้งรองเท้า Training, Running และ Sportswear โดย Post นี้เราจะมาโฟกัสกันที่ รองเท้าวิ่ง Nike Running ในแบบต่างๆกันค่ะ

รองเท้า Nike แบ่งเป็น Training, Running และ Sportwear แต่ละตัวถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ต่างกันไป รวมไปถึงรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีที่สุดในแต่ละไลฟ์สไตล์ Training เป็นรองเท้าที่มีซัพพอร์ตรอบด้าน และยึดเกาะได้ดี เหมาะกับกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนที่อยู่ตลอด เช่น การเข้ายิม การเต้น ต่อยมวย หรือยกเวท Running เป็นรองเท้าที่เหมาะกับการวิ่ง โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามแต่สไตล์การวิ่ง เช่น การวิ่งทำความเร็ว การวิ่งระยะไกล หรือการวิ่งแบบธรรมชาติ Sportswear เป็นรองเท้าเพื่อใส่ตาม ไลฟ์สไตล์ การใส่ทั่วๆไป ไม่เหมาะกับการใส่เล่นกีฬา เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อซัพพอร์ตในส่วนต่างๆ
รองเท้าวิ่งของ Nike แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ แล้วแต่ไลฟ์สไตล์ ความชอบ ของแต่ละคนคือ กลุ่มรองเท้าวิ่งแบบเป็นธรรมชาติ (Most Natural) กลุ่มรองเท้าวิ่งระยะไกล (Most Cushioned) และสุดท้ายกลุ่มรองเท้าวิ่งทำความเร็ว (Most Responsive)
Most Cushioned (Run Easy) รองเท้าที่เหมาะสำหรับวิ่งระยะไกล จุดเด่นอยู่ที่การรองรับแรงกระแทกได้ดีที่สุดในบรรดารองเท้าวิ่งของ Nike ด้วยพื้นรองเท้าที่หนา และการระบายอากาศที่ดี ช่วยให้การระบายความร้อนจากเท้าในการวิ่งที่ใช้ระยะเวลานานทำได้ดีมาก Nike มักจะใส่เทคโนโลยีต่างๆที่ทันสมัยมาให้กับรองเท้ากลุ่มนี้ค่อนข้างมาก เมื่อ Nike มีนวัตกรรมใหม่ๆ มักจะถูกหยิบมาใช้กับรองเท้ากลุ่มนี้เป็นอันดับต้นๆ เช่น Lunarเป็นรองเท้าน้ำหนักเบา พื้นทำจากโฟม มีความนุ่มและยึดเกาะได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่วิ่งระยะกลางไปจนถึงระยะไกล Nike Air Max ใช้เทคโนโลยีการอัดอากาศเข้าไปในพื้นรองเท้า เพื่อความนุ่มแและลดการกระแทก โดยรองเท้ากลุ่มนี้ ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำความเร็ว แต่หากนำมาใส่เป็นรองเท้าแฟชั่น เพื่อเดินเล่นก็สามารถใส่ได้ แต่อาจจะมีอาการเมื่อยเนื่องจากพื้นที่นุ่มจะทำให้ต้องใช้กล้ามเนื้อในการทรงตัวเวลาเดินมากกว่าปกติ
Most Responsive (Run Fast) รองเท้าวิ่งทำความเร็ว Nike ออกแบบพื้นรองเท้าให้มีความลาดเอียงไปด้านหน้าและออกแบบให้พื้นรองเท้าให้มีแรงส่ง เพื่อให้สามารถรีดพลังในการทำความเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรองเท้ากลุ่มนี้จะมีน้ำหนักเบา เพื่อการทำความเร็วสูงสุด Nike Zoom เป็นการใช้เทคโนโลยีการใส่ถุงอากาศไว้ในพื้นรองเท้าโฟม โดย Nike เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Zoom Air ในรองเท้าแต่ละรุ่นก็จะมีการวางตำแหน่งของถุงอากาศนี้ไว้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละคนในการลงน้ำหนักที่เท้า โดยคำว่า Zoom ที่พื้นรองเท้า เป็นการบอกตำแหน่งของ Zoom Air ที่ Nike ได้ใส่เข้าไปในรองเท้าคู่นั้นๆ
Most Natural (Run Natural) รองเท้าวิ่งแบบเป็นธรรมชาติ จะให้ความรู้สึกในการวิ่งที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยรองเท้ากลุ่มนี้จะมีพื้นรองเท้าที่มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด และบางที่สุดเมื่อเทียบกับรองเท้าวิ่งของ Nike เนื่องจาก Nike ต้องการให้ได้รับความรู้สึกเหมือนการวิ่งด้วยเท้าเปล่า โดยรองเท้ากลุ่มนี้จะมีจุดสังเกตง่ายๆคือ พื้นรองเท้าจะมีรอยบากตามแนวขวาง เพื่อทำให้รองเท้าสามารถยืดหยุ่นและบิดงอได้มากที่สุด ตัวอย่างรองเท้าที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ Nike Free โดยรองเท้ากลุ่มนี้ไม่เหมาะกับการวิ่งระยะไกลเนื่องจากพื้นรองเท้าไม่ได้ออกแบบเพื่อรองรับแรงกระแทก หากใช้วิ่งนานๆอาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
สำหรับคนที่หารองเท้าวิ่งที่เหมาะกับตัวเองได้แล้วก็อย่าลืม ดูแลรักษาความสะอาด ให้รองเท้าวิ่งอยู่กับเราไปนานๆ โดยปราศจากมีกลิ่นอับและเชื้อแบคทีเรียกันนะคะ
StopNano ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการ “ก้าว” ด้วยการมอบส่วนลด 20% พร้อมส่งลงทะเบียนฟรีให้กับเพื่อนๆ ที่ร่วมบริจาคเงิน เพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับ 11 โรงพยาบาลที่ยังขาดแคลน และต้องการความช่วยเหลือและแรงสนับสนุนจากพวกเราคนไทยทุกคน ในโครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” รายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊ก  

Leave a Reply

Your email address will not be published.